พระเทพวงศา (พ่วย) หรืออัญญาท้าวพ่วย เจ้าเมืองเขมราษฎร์ธานี ลำดับที่ 5
บันทึกโดย คณะสำรวจของ ม.ปาวี เมื่อประมาณปี ค.ศ.1890 (พ.ศ.2433)
ชื่อบ้านนามเมือง เขมราษฎร์ธานี หรือ เขมราฐ มีความหมายเดียวกันคือ
* เขม เป็นคำมาจากภาษาบาลี หมายถึง ความเกษมสุข โดยคำที่เทียบเคียงคือคำว่า "เกษม" ที่มาจากภาษาสันสกฤต
* ราษฎร เป็นคำที่มาจากภาษาลีสันสกฤตมีความหมายตรงกับ “รัฐ” หรือ “รัฏฐ” ซึ่งมาจากภาษาบาลี หมายถึง แว่นแคว้น หรือดินแดนนั้นเอง
ดังนั้น คำว่า "เขมราษฎร์ธานี" หรือ "เขมราฐ" จึงมีความหมายรวมว่า ดินแดนแห่งความเกษมสุข
เมื่อปี พ.ศ. 2357 เจ้าอุปราช (ก่ำ) แห่งเมืองอุบลราชธานี ขอแยกออกมาตั้งบ้านเมืองใหม่ที่บ้านโคกก่งดงพะเนียง ต่อมาเจ้าพระพรหมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าทิดพรหม) เจ้าผู้ครองเมืองอุบลราชธานี พระองค์ที่ 2 (ต้นสกุลพรหมวงศานนท์) จึงมีใบบอกลงไปกราบบังคมทูลทรงพระกรุณาทราบพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะบ้านโคกก่งดงพะเนียง ขึ้นเป็นเมือง พระราชทานนามว่า เขมราษฎร์ธานี ดำรงสถานะเทียบเท่าหัวเมืองชั้นเอกขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร ตามที่พระพรหมวรราชสุริยวงศ์กราบบังคมทูล และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เจ้าอุปราช (ก่ำ) ซึ่งเป็นพระโอรสของเจ้าพระวรราชภักดี พระนัดดาพระเจ้าสุวรรณปางคำ อันสืบมาจากราชวงศ์สุวรรณปางคำ เป็นพระเทพวงศา (เจ้าก่ำ) เจ้าผู้ครองเมืองเขมราษฎร์ธานีพระองค์แรก (พ.ศ. 2357-2369) ปกครองเมืองเขมราษฎร์ธานีโดยร่มเย็นสืบมา
ปี พ.ศ. 2428 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวขัตติยะ (พ่วย) บุตรพระเทพวงศา (บุญสิงห์) เจ้าเมืองเขมราษฎร์ธานี คนที่ 4 เป็นที่พระเทพวงศา (พ่วย) เจ้าเมืองเขมราษฎร์ธานี ลำดับที่ 5 (พ.ศ. 2428-2435)
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปรับปรุงการปกครองครั้งใหญ่ อีสานถูกแบ่งเป็น 8 บริเวณ เมืองเขมราฐมีเดชธนีรักษ์เป็นผู้ว่าราชการเมือง และมีอำเภออยู่ในการปกครอง 6 อำเภอ ต่อมาในปี พ.ศ. 2452 เมืองเขมราฐถูกลดฐานะลงเป็นอำเภอขึ้นตรงต่อเมืองยโสธร จนปี พ.ศ. 2455 จึงถูกย้ายมาขึ้นกับกับจังหวัดอุบลราชธานีจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ข้อมูลเพิ่มเติม
พระเทพวงศา หรือ เจ้าอุปราชก่ำ ซึ่งเป็นพระโอรสของ เจ้าพระวรราชภักดี พระนัดดา พระเจ้าสุวรรณปาง คำ ที่สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ สุวรรณปางคำ ขึ้นเป็น พระเทพวงศา ( เจ้าก่ำ ) เจ้าผู้ครอง เมืองเขมราษฎร์ธานี พระองค์แรก
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านโคกก่งดงพะเนียง เป็นเมืองเขมราษฎร์ธานี มีฐานะเทียบเท่าหัวเมืองชั้นเอกขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร ตามที่พระพรหมวรราชสิริยวงศากราบทูล และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อุปฮาดก่ำ บุตรชายคนโตของพระวอจากเมืองอุบลราชธานี มาเป็นเจ้าเมืองเขมราษฎร์ธานี ได้รับสถาปนาเป็นพระเทพวงศา (ก่ำ)
มีบุตร 4 คน คือ 1.พระเทพวงศา (บุญจันทร์)(2371-2395), 2.พระเทพวงศา (บุญเฮ้า)(2396-2408) , 3. ท้าวชำนาญไพรสณฑ์ (แดง) มียศเป็นพระกำจรจาตุรงค์ ได้เป็นเจ้าเมืองวารินชำราบ(บ้านนากอนจอ) 4.นางหมาแพง , พระเทพวงศา (บุญจันทร์) มีบุตรชาย 2 คน คือ ท้าวบุญสิงห์ และท้าวบุญชัย ต่อมา ท้าวบุญสิงห์ได้เป็นเจ้าเมืองเขมราษฎร์ธานี ลำดับที่ 4 มียศเป็นพระเทพวงศา (บุญสิงห์)(2408-2428)(ต้นตระกูล อมรสิน และ อมรสิงห์) มีบุตรชาย 2 คน คือ ท้าวเสือและท้าวพ่วย ซึ่ง ท้าวพ่วย ได้รับแต่งตั้งเป็น ท้าวขัตติยะ และเป็นเจ้าเมืองเขมราษฎร์ธานี ลำดับที่ 5 ที่ตำแหน่ง พระเทพวงศา (พ่วย)(2428-2435) ส่วน ท้าวเสือ ได้รับยศเป็น ท้าวจันทบุฮมหรือจันทบรม และได้รับโปรดเกล้า เป็น พระอมรอำนาจ เจ้าเมืองอำนาจเจริญ ในปี พ.ศ. 2401